ไต่สวนคดี “กุ๊ยมะริกัน” ครื้นเครง! ศาลตีราคาหมิ่นทูตสหรัฐ ๕๐๐ บาท!!
พ.ต.ต.สุรพงษ์ นาคะเสถียร
“คุณชายเป็นคนเขียนใช่ไหม?”
เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์รับว่า “ใช่” จึงเชิญตัวไปสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จากนั้นก็แจ้งข้อหา “ตีพิมพ์ข้อความดูหมิ่นตัวแทนรัฐต่างประเทศ ตาม กม.อาญามาตรา ๑๓๔” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี ปรับไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท โดยอ้างว่าสถานทูตสหรัฐได้ประท้วงมา แต่ก็ให้ประกันตัวไปในวงเงิน ๔๔,๐๐๐ บาท
การจับ บก.สยามรัฐครั้งนี้ ทำให้สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและสมาคมนักข่าว เรียกประชุมร่วมกันเป็นการฉุกเฉิน ปรากฏว่ามีสมาชิกไปประชุมคับคั่ง หลังจากการอภิปราย ๓ ชั่วโมง มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นหนังสือประท้วงรัฐบาล เพราะการจับกุม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นการคุกคามเสรีภาพหนังสือพิมพ์
ขบวนเชียร์ส่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปขึ้นศาล
ในวันที่ ๕ เมษายน เรื่องนี้ถูกนำขึ้นสู่ศาลอย่างรวดเร็ว และศาลได้สืบพยานนัดแรกในบ่ายวันนั้นทันที โดยมี พลตำรวจจัตวา ปั้น โชติพุกกณะ เป็นผู้ว่าคดีฝ่ายโจทก์ ส่วนฝ่ายจำเลย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขอว่าความให้ตัวเอง
โจทก์ได้นำ พ.ต.ต.สัมพันธ์ รัญเสวะ สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ กองกำกับการสันติบาล เป็นพยานปากแรก ซึ่งคำซักค้านของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้เรียกเสียงเฮฮาเป็นที่สนุกสนานของผู้เข้าฟังคดี
สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ให้การว่า เป็นผู้ตรวจข่าวใน นสพ.ทุกวัน และเมื่อได้อ่านคอลัมน์อันธพาลในสยามรัฐฉบับนี้แล้ว ก็ได้บันทึกความเห็นเสนอไปยังผู้บังคับบัญชาว่า ข้อความที่ นสพ.สยามรัฐลงนี้ เป็นการกล่าวหานายแม็กซ์วิลโด บิช๊อป เอกอัครราชทูตอเมริกันเป็นกุ๊ย เป็นการดูหมิ่นนายบิช๊อปซึ่งเป็นผู้แทนรัฐต่างประเทศ และมีความเห็นว่า กุ๊ย หมายถึงคนเลวทรามต่ำช้า ไม่น่าคบ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักถามว่า พยานรับราชการตำรวจมานาน เคยรู้จักอันธพาลบ้างไหม สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ตอบว่าไม่รู้จัก เห็นเขาว่าๆกัน หลังเลือกตั้งครั้งนี้หนังสือพิมพ์เอามาลงกันหนาหู
พยานให้การว่า ถ้าไม่มีนายกรัฐมนตรีหรือนายบิช๊อปเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อความที่เขียนในคอลัมน์อันธพาลก็รับกับหัวเรื่องดี พยานถือว่าบุคคลที่ถูกระบุอยู่ในคอลัมน์อันธพาลเป็นอันธพาลไปหมดด้วย คึกฤทธิ์ซักว่า ถ้าเช่นนั้นในคอลัมน์อันธพาลลงข้อความว่า พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มีบัญชาให้อันธพาลไปพบ พยานเข้าใจว่า พล.ต.อ.เผ่าเป็นอันธพาลด้วยหรือ พยานตอบว่า มันแล้วแต่เจตนา ต้องอ่านข้อความอื่นประกอบด้วย จะว่านายพลตำรวจเอกเผ่าเป็นอันธพาลไม่ได้
คึกฤทธิ์ถามว่า บุคคลที่แย่งหีบบัตรลงคะแนนในนครชิกาโก เป็นบุคคลที่ทำถูกต้องใช่ไหม พยานตอบว่าไม่ถูก ทำผิดและไม่ควรทำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักต่อไปอีกว่า ควรจะเรียกว่าเป็นคนเลวทรามได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นอเมริกันหรือไทย พยานตอบว่าก็ทำผิดกฎหมายละ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักว่า คนทำผิดกฎหมายนั้นจะดีหรือเลว พยานตอบว่าจะเลวเสมอไปก็ไม่ได้ พยานเห็นว่าเป็นคนฝืนกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักว่า คนที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือคนทำผิดกฎหมายไม่เรียกว่าคนเลวหรือ พยานตอบว่าคนทำผิดกฎหมายบางครั้งก็ไม่มีเจตนา จะเรียกว่าเป็นคนเลวเสมอไปไม่ได้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักว่า คนที่ไปแย่งหีบบัตรเลือกตั้งนั้น พยานเห็นว่ากระทำโดยประมาทไม่เจตนาด้วยหรือเปล่า พยานไม่ตอบ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ถามว่า สมมติคนอื่นไปเห็นผู้กระทำความผิด แล้วนำเรื่องมาเล่าให้คนอื่นฟัง คนที่เล่าผิดไหม พยานตอบว่าไม่ผิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักว่า ฉะนั้นที่นายบิช๊อปนำความมาบอกจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ใช่ผู้ผิดใช่ไหม พยานตอบว่าใช่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักต่อไปอีกว่า จะเรียกนายบิช๊อปตามพฤติการณ์ที่ว่านี้ เป็นคนเลวทรามได้ไหม พยานตอบว่าไม่ได้ จะเรียกว่ากุ๊ยก็ไม่ได้
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ถามว่า เมื่อปรากฏว่าผู้ผิดคือผู้แย่งหีบบัตรในนครชิกาโก เหตุใดพยานจึงเข้าใจว่าผู้เขียนหมายถึงนายบิช๊อป จะหมายถึงพวกทำผิดแย่งหีบบัตรเลือกตั้งได้หรือไม่ พยานตอบว่าได้ทั้งนายบิช๊อปและผู้แย่งหีบบัตร แต่เพราะข้อความนั้นกล่าวถึงนายบิช๊อปเป็นอันดับแรก พยานจึงเข้าใจว่ากุ๊ยหมายถึงนายบิช๊อป
ศาลได้นัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ ๙ เมษายน ซึ่งข่าวที่แพร่ออกไปถึงความสนุกสนานจากการซักพยานของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทำให้นักศึกษาประชาชนมาฟังการพิจารณาคดีกันแน่นศาลจนล้นห้องพิจารณาคดี ในนัดนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชได้เบิกตัวเองเป็นพยาน ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังได้ตลอดเวลาเช่นกัน
แฟนล้นห้องจนต้องปีนดู
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ให้การว่า พยานอายุ ๔๖ ปี อาชีพทำหนังสือพิมพ์ อยู่บ้านเลขที่ ๑๔๔ ซอยสวนพลู เป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน พยานเป็นผู้ประพันธ์บทความเรื่องคอลัมน์อันธพาลในฉบับลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๐๐ ข้อความในคอลัมน์นี้ ตอนแรกเป็นการตัดข่าวที่จอมพลแปลกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มาลง ส่วนข้อความตอนหลัง เป็นข้อความที่เขียนขึ้นด้วยสำนวนที่เจตนาจะล้อเลียน เพราะระยะนั้นปรากฏเป็นข่าวว่าจังหวัดพระนครมีอันธพาลชุกชุม และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ก็ปรากฏเป็นข่าวว่าอันธพาลเข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายมาก เกล้ากระผมจึงใช้ถ้อยคำในคอลัมน์อันธพาลนี้ให้ดูเหมือนว่าอันธพาลพูดกัน มีความหมายจะตักเตือนจอมพลแปลก พิบูลสงครามว่า อายุของตัวก็เข้าปูนชราแล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ จึงควรประพฤติตนให้ดีต่อไป ไม่ควรจะไปนำแบบอย่างที่ไม่ดีมาใช้ในการเลือกตั้ง ข้อความทั้งหมดนั้นเกล้ากระผมไม่มีเจตนาจะดูหมิ่นผู้ใดให้เห็นเป็นคนเลวต่ำช้า ที่เกล้ากระผมเขียนไปว่า เพราะคบกุ๊ยมะริกันยังงี้นี่เองนั้น เนื่องจากรัฐบาลจอมพลแปลกที่ดำเนินการเลือกตั้งในครั้งนี้ คบหาเป็นมิตรสนิทสนมกับอเมริกามากกว่าชาติอื่น และรัฐบาลก็ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ จากอเมริกาเป็นอันมาก จอมพลแปลกก็ได้ไปทัศนาจรอเมริกา และเมื่อกลับมาก็อ้างว่าได้ไปศึกษาระบอบประชาธิปไตยมา เกล้ากระผมจึงเห็นว่าจอมพลแปลกอาจไปจำแบบอย่างที่ไม่ดีของอเมริกา เช่นการทุจริตเลือกตั้งมาใช้ในเมืองไทย ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์นั้นสกปรก ครั้นเมื่อคนทั่วไปทราบว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นสกปรกแล้ว จอมพลแปลกก็ขอให้เปลี่ยนให้เรียกว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อย โดยอ้างการเลือกตั้งของอเมริกาเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นคำว่ากุ๊ยมะริกันในบทความ เกล้ากระผมจึงไม่ได้หมายถึงตัวนายบิช๊อป แต่หมายถึงคนแย่งหีบบัตรเลือกตั้งในอเมริกาที่นครชิกาโก อันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี จอมพลแปลกไม่ควรนำมาอ้าง
พยานให้การต่อไปว่า ตามความเข้าใจของเกล้ากระผม จอมพลแปลกคบกุ๊ยมะริกันมาก่อนการเลือกตั้งครั้งวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งถึงได้สกปรก ไม่ใช่ว่าเพราะจอมพลแปลกคบนายบิช๊อป เพราะนายบิช๊อปเป็นทูต ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และเรื่องที่นายบิช๊อปพูดกับจอมพลแปลกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ก็พูดเมื่อหลังการเลือกตั้งแล้ว ดังปรากฏในคำสัมภาษณ์ของจอมพลแปลกว่า เอกอัครราชทูตอเมริกันได้มาพูดเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ คำว่าวานนี้ก็หมายถึงหลังการเลือกตั้งแล้ว เพราะฉะนั้นถ้อยคำในตอนท้ายของคอลัมน์อันธพาล เกล้ากระผมจึงไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นนายบิช๊อป ถ้าจะมีจิตใจจะดูหมิ่นผู้ใด ก็เห็นจะเป็นจอมพลแปลก พิบูลสงคราม
พยานฝ่าย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นบรรณาธิการอาวุโสของวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งแต่ละคนล้วนให้การเหน็บแนมจอมพล ป. สะใจคนฟังเข้าไปอีก อย่างนายสนิท ธนะรักษ์ บก.ประชาธิปไตย ให้การว่า ในฐานะที่ทำข่าวใกล้ชิดกับจอมพล ป.มานาน รู้ว่าที่จอมพล ป.โกรธมากสั่งให้ฟ้อง ก็เพราะไปจี้จุดอ่อนเข้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซักว่าจี้ตรงไหน นายสนิทก็บอกว่า ตรงเสียคนเอาตอนแก่จะเข้าโลง เพราะท่านไม่อยากแก่ เลยสั่งฟ้องเปะปะ
เมื่อสอบพยานทั้ง ๒ ฝ่ายจบแล้ว ศาลก็นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๐๐ และตัดสินให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๑ เดือน ปรับ ๕๐๐ บาท ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ยกโทษจำคุก คงปรับอย่างเดียว
ในที่สุดของคดีที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตกเป็นจำเลยฐานหมิ่นตัวแทนรัฐต่างประเทศว่าเป็นกุ๊ยมะริกัน ก็สรุปลงที่ถูกปรับไป ๕๐๐ บาท
ขอขอบคุณที่มาm.manager
ไต่สวนคดี “กุ๊ยมะริกัน” ครื้นเครง! ศาลตีราคาหมิ่นทูตสหรัฐ ๕๐๐ บาท!!
Reviewed by Unknown
on
23:54:00
Rating: